การฝังเข็ม

การรักษา: สามารถฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ปรับเลือดให้ประจำเดือนมาได้ดีขึ้น ฝังเข็ม 1 คอร์ส หรือ 15 ครั้ง โดยสัปดาห์แรกที่รับการรักษาควรทำวันเว้นวัน จากนั้นค่อยเว้นเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน การเปลี่ยนแปลงหลังจากการฝังเข็มไปแล้ว 5 ครั้ง จะรู้สึกได้ถึงรูปร่างที่กระชับขึ้น ครั้งที่ 6-7 ขึ้นไป น้ำหนักจะค่อย ๆ ลดลง
หมายเหตุ: การฝังเข็มช่วยทำให้ปรับระบบการขับถ่าย ขับความชื้น ช่วยลดความหิว การเห็นผลมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ปัสสาวะรดที่นอน
เด็กอายุที่เกิน 3-4 ขวบ มักจะสามารถควบคุมปัสสาวะเวลานอนได้ แต่หากไม่สามารถควบคุมปัสสาวะได้ มีการปัสสาวะรดที่นอน 1-2 ครั้งต่อคืน ก่อนปัสสาวะรดที่นอนมักเรียกตื่นลำบาก ตื่นขึ้นมาไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่หลังจากปัสสาวะแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมารู้สึกตัวดี อาจเกิดจากไตทำงานได้ไม่ดี และมีการเจริญเติบโตของร่างกายค่อนข้างช้าร่วมด้วย

การฝังเข็มรักษาโรคอะไรบ้าง
เมื่อปักเข็มกระตุ้นจุด “จู๋ซานหลี่” ของเส้นลมปราณกระเพาะอาการที่อยู่บริเวณหน้าแข็ง สามารถกระตุ้นทำให้กระเพาะอาการที่หดเกร็ง มีการคลายตัวและบีบตัวเป็นจังหวะดีขึ้น สามารถปรับการหลั่งของกรดในผู้ป่วยที่มีภาวะกรดกระเพาะอาการมากเกินไป ให้ลดน้อยลงสู่สภาพปกติได้ตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะไม่สามารถอธิบายกลไกการเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ได้จากความรู้ทางการแพทย์ที่มีอยู่แต่เดิม อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ระบบประสาทและการค้นคว้าในด้านการฝังเข็ม นั่นหมายความว่า ถ้าปักเข็มในคนที่อยู่สภาวะปกติ มักจะไม่มีผลอะไรปรากฎออกมาอย่างชัดเจน เพราะว่าฤทธิ์ของการฝังเข็มในการปรับสมดุลการทำงานของอวัยวะหรือระบบต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดเจนก็ต่อเมื่ออวัยวะหรือระบบนั้นมีความผิดปกติเสียสมดุลในการทำงานไปแล้วแต่ถ้าฝังเข็ม ผลที่ปรากฏออกมาจะมี 2 แบบ เท่านั้นคือ หัวใจเต้นช้าลงมาสู่ปกติ หรือไม่ก็ยังคงเต้นเร็วอยู่เท่าเดิม การฝังเข็มจะไม่ทำให้หัวใจที่เต้นเร็วอยู่แล้ว ยิ่งเต้นเร็วขึ้นไปอีกอย่างเด็ดขาด ตรงกันข้าม ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ การฝังเข็มจะช่วยยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นมากเกินไปให้ลดน้อยลงได้
ฤทธิ์ในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของการฝังเข็มนี้ ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทของเอนดอร์ฟีนที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาด้วย การฝังเข็มนั่นเองสัญญาณประสาทที่ส่งออกมาพร้อมกับสารสื่อสัญญาณประสาทที่หลั่งออกมานั้น จะก่อให้เกิดผลต่าง ๆ ตามมาหลายอย่าง อาทิเช่น
– ยับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับอันตราย
– กระตุ้นปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาพให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่อ ขจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ไวเกิน ยับยั้งปฏิกิริยาการอักเสบ เป็นต้น โดยผ่านฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ ตามจุดฝังเข็มบนเส้นลมปราน เป็นการปรับอวัยวะและระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลปัจจุบันศาสตร์แพทย์แผนจีนมีการเรียนการสอนในประเทศไทย โดยหลักสูตรการเรียนการสอนได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข แพทย์ผู้ทำการรักษาจะมีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะเหมือนแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งการที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการรักษาโดยวิธีฝังเข็มนั้น จะต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ก่อนว่าสามารถเข้ารับการรักษาได้หรือไม่ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน บริเวณต่างๆ ทั่วร่างกาย มีพลังงานไม่เท่ากัน (ภาษาจีนเรียกพลังงานไหลเวียนนี้ว่า ‘ชี่’) การฝังเข็มจะเป็นการใช้เข็มฝังบริเวณที่เป็นเส้นลมปรานของร่างกายเป็นการช่วยกระตุ้นลมปราณ (ชี่) และเลือดให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยระบายเลือดที่คั่งเนื่องจากการไหลเวียนไม่ดี ระบายความร้อน หรือสารพิษ เป็นการบำรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูร่างกายที่เสียสมดุลไปให้กลับเข้าสู่สมดุล
ตามแต่ความรุนแรงของอาการ บางครั้งจะต้องมีการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สมุนไพรจีน การครอบแก้ว หรือการนวดกดจุด เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำน้อยลงการฝังเข็ม คือการที่แพทย์ใช้เข็มเล็กขนาด 0.18-0.30 มม.รับประทานอาหารให้พอเหมาะ ควรรับประทานอาหารมาก่อนประมาณ1-2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มมากจนเกินไปงบกายและใจในขณะรักษา ขณะที่มีเข็มปักคาร่างกาย ควรนั่งหรือนอนนิ่งๆ ไม่ควรขยับเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายที่มีเข็มปักคาอยู่ ยกเว้นการขยับตัวเล็กๆน้อยๆ ยังสามารถทำได้ แต่ส่วนของร่างกายอื่นๆ ที่ไม่มีเข็มปักอยู่นั้น สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ตามปกติการฝังเข็ม สามารถ รักษาโรคอะไรได้บ้าง องค์การอนามัยโลก ยอมรับการรักษาด้วยการฝังเข็มเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค จำนวน 57โรค และสามารถแบ่งกลุ่มโรคต่างๆได้ดังต่อไปนี้ได้แก่ กลุ่มอาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดสะบัก ปวดเข่า ปวดศีรษะ ไมเกรน ปวดเรื้อรังปวดประจำเดือน โรคเครียด นอนไม่หลับ อย่างไรก็ตามผลการรักษาในแต่ละคน จะได้ผลดีไม่เท่ากัน ซึ่งการตอบสนองต่อการฝังเข็มขึ้นกับ ระยะเวลาที่เป็นโรคนั้น พยาธิสภาพโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และอ่านเอกสารอธิบายก่อนตัดสินใจรับการฝังเข็ม
เข็มที่ใช้ในการฝังเข็ม
ขนาดเข็มที่ใช้ในการฝังเข็มมีขนาดเล็กกว่าเข็มฉีดยา ที่ใช้กันทั่วไปประมาณ 10-20 เท่า เข็มที่เล็กที่สุดที่เราใช้ ขนาดใกล้เคียงกับเส้นผม นอกจากนี้เข็มที่ใช้เป็นเข็มตัน ไม่มีรูตรงกลาง จึงไม่ได้ตัดกล้ามเนื้อตัดเส้นเลือดเหมือนเข็มฉีดยา และเจ็บน้อยกว่า โอกาสจะเกิดอันตรายต่อเส้นประสาน เส้นเลือด และอวัยวะภายในมีน้อย
การฝังเข็มทำอย่างไร
แพทย์จะทำการวิเคราะห์โรคและปักเข็มลงในจุดที่มีผลในการรักษา แล้วคาเข็มไว้ 20 – 30 นาที จากนั้นกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้า (จากถ่านไฟฉาย จึงไม่มีโอกาสเกิดไฟซ๊อตจนอันตราย) หรือกระตุ้นด้วยมือ แล้วเอาเข็มออก วิธีนี้แท้จริงควรเรียกว่า การปักเข็ม เพราะไม่ได้ฝังลงไปจริงและเป็นวิธีที่ปลอดภัย มีภาวะแทรกซ้อนน้อย การฝังเข็มแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ควรมาฝังเข็มต่อเนื่องสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ซึ่งอาการต่างๆมักจะดีขึ้นหลังจากได้รับการฝังเข็ม 2-3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการรักษาโรคต่างๆ อาจแตกต่างกัน ตามดุลยพินิจของแพทย์
ติดตามข้อมูลได้ที่ : โรคต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ
สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : ramahealthy