การวิจัยลักษณะเก๊กฮวย
การวิจัยลักษณะเก๊กฮวย

ต้นกำเนิดของดอกเก๊กฮวย
ดอกเก๊กฮวย หรือ ดอกเก๊กฮวย เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศจีน แต่ต่อมาได้แพร่กระจายไปยังประเทศญี่ปุ่น กัมพูชา ลาว ไทย และประเทศอื่น ๆ รวมไปถึงพันธุ์เก๊กฮวยที่ปลูกกันทั่วไปในยุโรป และนำมาต้มทำน้ำเก๊กฮวยที่พบมากที่สุดคือเก๊กฮวยดอกขาว ดอกเบญจมาศมากกว่า 90% ผลิตที่นี่ โดยเฉพาะในเมืองหางโจว นอกจากดอกเบญจมาศสีขาวแล้ว ดอกเบญจมาศสีเหลืองเล็ก ๆ ในประเทศของฉันยังเรียกว่าดอกเบญจมาศหนู Chrysanthemum indicum Linn และผลิตในประเทศไทย ก็สามารถตากให้แห้งได้ ตากแห้งและชงด้วยน้ำร้อนเพื่อทำน้ำเก๊กฮวยก็ให้ผลเหมือนกัน
ประเทศไทย ดังที่วรรณกรรมเรื่องหางข้าวแสดงให้เห็นว่าชาวจีนนำเข้าและปลูกเบญจมาศเมื่อนานมาแล้ว ข้อเขียนในรัชกาลที่ 2 ระบุว่าคนไทยสมัยนั้นคุ้นเคยกับตน เมื่อ ดร. ประเดิ้ล กล่าวถึงดอกเบญจมาศในหนังสือ อัครพิธานสารัตถ์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2416 ทรงกล่าวถึงดอกเบญจมาศว่า ดอกเบญจมาศ ชื่อของไม้ดอกเล็ก ๆ แสดงว่าคนไทยในสมัยนั้นรู้จักดอกเบญจมาศเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ปัจจุบันเบญจมาศมีการปลูกกันทั่วโลก
โดยเฉพาะในเขตอบอุ่นที่มีสภาพอากาศใกล้เคียงกัน ด้วยต้นกำเนิดของเบญจมาศในประเทศจีน พันธุ์เบญจมาศจึงได้รับการเพาะปลูกและพัฒนาอย่างกว้างขวางในอเมริกาเหนือและยุโรป ความนิยมยังคงอยู่ที่ด้านบนสุดของรายการ ในบรรดาดอกไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดกาล ในภาษาอังกฤษเรียกว่าดกเบญจมาศ ดอกเบญจมาศ ในสหรัฐอเมริกา ดอกเบญจมาศมักเรียกง่าย ๆ ว่า แม่ ในขณะที่ในสหราชอาณาจักรถือเป็นดอกไม้ประจำเดือนพฤศจิกายน
สรรพคุณของเก๊กดอกฮวย
ดับกระหายและเพิ่มความสดชื่น
มีผลในการขจัดความร้อนและความเย็นภายใน
ช่วยหยุดยั้งเอชไอวี
ช่วยป้องกันโรคหัวใจ หัวใจล้มเหลว
ช่วยบำรุงเลือด
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
ช่วยบำรุงและรักษาการมองเห็น
รักษาอาการปวดหัว
ช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม
แก้อาการหวัด
ช่วยบรรเทาอาการไอ
ช่วยในการกำจัดลมและระบายอากาศ
ช่วยบำรุงปอด
ช่วยบำรุงตับและไต
ช่วยรักษาอาการผมร่วง
ประโยชน์ของเก๊กฮวย
หลายครั้งนิยมคั้นน้ำเก๊กฮวยดื่มดับกระหาย เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ปลูกเป็นไม้ดอกประดับก็ได้ ไม้ตัดดอก ปลูกหรือขายก็ได้ นิยมปลูกพันธุ์ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่หลายสีและปลูกในกระถางเป็นไม้ดอก ไม้ดอกริมถนน สวนสาธารณะ สวนหลังบ้าน ฯลฯ สามารถรักษาโรคภายนอกร่างกายหรืออวัยวะได้ เนื่องจากลมร้อน เช่น ไข้ตามฤดูกาลเริ่มใหม่ อาจทำให้เกิดไข้ ปวดศีรษะ ไอ และอาการอื่น ๆ ได้ มักใช้ร่วมกับใบหม่อน สะระแหน่ ฟอร์ซิเธีย เป็นต้น ใช้สำหรับกลุ่มอาการหวัดที่เกิดจากความร้อน ตาบวม แดง เจ็บปวด ตาไม่ชัดเจนหรือพร่ามัว และอ่อนแรง สำหรับอาการตาแดงบวมจากลมร้อนและแสบร้อนซึ่งส่งผลต่อตับหรือไฟตับมากกว่า มักใช้กับใบหม่อน เห็ดไทย และหญ้าเจนเชียน สำหรับผู้ป่วยโรคตับและไตพร่องและวิงเวียนศีรษะ สามารถใช้ร่วมกับ Rehmannia glutinosa เพื่อรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ และ
ปวดศีรษะที่เกิดจากการสมาธิสั้นของหยางในตับ ในกรณีที่มีหนองเป็นหนอง สามารถใช้ร่วมกับ โคธาสร เป็นต้น หากอาการบวมเป็นพิษ คุณสามารถบดดอกไม้และเติมน้ำเพื่อดื่ม จากนั้นนำเนื้อกระดาษมาพอกหน้า สำหรับอาการตาอักเสบ สามารถบดและกดดอกนอกตาเพื่อใช้เป็นยาพอกได้ ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารโดยเฉพาะการดื่มชาเก๊กฮวยร้อนช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย รักษาผมร่วง เชื่อกันว่าเก๊กฮวยรักษาผมร่วงได้ ช่วยให้ผมดกดำเป็นเงางามและป้องกันผมหงอกก่อนวัย

ในการแพทย์แผนปัจจุบัน
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเบญจมาศสามารถช่วยได้ ลดความดันโลหิตเนื่องจากสมุนไพรนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและต่อสู้กับกระบวนการอักเสบ สิ่งนี้อาจมีผลดีในการรักษาและป้องกันความดันโลหิตสูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะที่เกิดจากความดันโลหิตสูง และมีผลในการลดระดับความดันโลหิตในการรักษาโรคเบาหวานได้ การบริโภคเก๊กฮวยหรือผลิตภัณฑ์จากเก๊กฮวยอาจช่วยในการต่อสู้กับโรคเบาหวานได้ เนื่องจากสารประกอบเช่นฟีนอลและฟลาโวนอยด์ในเบญจมาศอาจยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ส่งผลต่อการดูดซึมน้ำตาลบางชนิด อาจมีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคเบาหวาน ต่อสู้กับมะเร็งต่อมลูกหมาก คาดว่าการบริโภคเบญจมาศอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากดอกเบญจมาศมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และยับยั้งการผลิตแอนโดรเจนซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
ติดดตามเรื่องสุขภาพได้ที่ : เคล็ดลับสุขภาพดี
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : ramahealthy
แหล่งอ้างอิง : ดวง พร อมร เลิศ พิศาล, สินี นาฏ ภู่ ระยับ, ล ภั สร ดา มุ่งหมาย, เกรียงศักดิ์ เม่ ง อํา พัน, & ณั ฐ วุฒิ หวัง สม นึก. (2021). ฤทธิ์ ทาง ชีวภาพ ของ สาร สกัด จาก ดอก เก๊กฮวย อินทรีย์ เพื่อ ใช้ ใน เครื่องสำอาง. วารสาร วิจัย และ ส่งเสริม วิชาการ เกษตร, 38(2), 46-56.
https://li01.tci-thaijo.org/index.php/MJUJN/article/view/214349