ฝึกหายใจลดความเครียด
ฝึกหายใจลดความเครียด

ไม่ว่าจะอยู่ในเมือง หรือในชนบท ผู้คนต้องเผชิญ กับแรงกดดัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำว่า หากมีแรงกดทับต้องรีบกำจัด วิธีง่าย ๆ และใกล้ชิดที่สุด คือการฝึกหายใจด้วยท้อง หายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ 4-5 ครั้ง คุณจะรู้สึกดีขึ้น มีสมาธิ ใจเย็นลง และตัดสินใจได้ดีขึ้น ชี้ให้เห็นว่าคุณ ควรทำเช่นนี้ทุกครั้ง ที่รู้สึกโกรธหรือไม่สบายใจ หากไม่ดีขึ้น คุณสามารถหาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ใกล้บ้านหรือ โทรสายด่วนโทรฟรี 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
นาวาอากาศเอกนายแพทย์เทอร์รี่ เรืองวัลลวะ ผู้อำนวยการกองสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สภาพสังคมและเศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงไป ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยี การสื่อสาร และ วิถีชีวิตที่เร่งรีบทำ ให้ผู้คนไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบทต้องเผชิญ กับความเครียดทางอารมณ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดความหดหู่ เครียด บีบคั้น อาการจะมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับสภาพแวดล้อม และ การปรับตัวของแต่ละคน ถ้าความเครียดไม่มากเกินไป จะเป็นแรงกระตุ้นให้ เกิดความเพียรได้ดี เอาชนะความยากลำบาก และอุปสรรค
แต่ถ้าอยู่ในระดับสูง เป็นเวลานาน ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น ภาระงานของระบบประสาท อัตโนมัติและระบบต่อมไร้ท่อในร่างกาย ก็จะยิ่งมากขึ้น เพิ่มความดันโลหิต, ความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อ, หายใจถี่, เหงื่อออก, สมองสับสน, ปวดหัว, คลื่นไส้, ไม่มีสมาธิ, กินไม่ได้, นอนไม่หลับ ในผู้ที่มีความเครียด การผ่อนคลาย จากความเครียด อาจนำไปสู่การตัดสินใจ แก้ไขปัญหาที่ผิด เช่น การจี้ปล้น การปล้น การทำร้ายร่างกาย การฆ่าตัวตาย เป็นต้น
ผู้อำนวยการด้าน สุขภาพจิตกล่าวต่อ ไปว่าการจัดการ ความเครียด มีหลายวิธี แต่สิ่งที่ใกล้ตัวคน ทุกวัยสามารถนำไปใช้ได้ทันที เมื่อมีอาการคือการ ฝึกหายใจ เพื่อคลายความเครียด โดยใช้กล้ามเนื้อ หน้าท้องในการหายใจ หายใจเข้าลึก ๆ นับ 1 ถึง 4 อย่างช้า ๆ คุณจะรู้สึกว่าท้องของคุณขยายขึ้น จากนั้นหายใจออกช้า ๆ นับ 1-8 หายใจออกจนสุด สังเกตว่าหน้าท้อง ของคุณแบนราบลงอย่างไร และ คุณจะรู้สึกถึงความตึงเครียด ที่ถูกปลดปล่อย ออกมาเมื่อคุณทำเช่นนี้
“ปกติคนเราหายใจเข้า-ออกประมาณ 16,000-23,000 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งสูดแก๊ส ดีเข้าไปหล่อเลี้ยง เซลล์ในร่างกายประมาณ 250 มล. และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกประมาณ 200 มล. สองสถานะนี้อยู่ในภาวะ สมดุล เรารู้สึกปกติแต่เมื่อเครียดลมหายใจจะสั้น และ ตื้นกว่าเดิมส่งผลให้ออกซิเจน น้อยลงกว่าเดิมดังนั้น เมื่อเราฝึกหายใจ ลึกขึ้นและช้าลงร่างกายจึงได้รับออกซิเจน มากขึ้นส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจ และ อัตราการหายใจ ลดลงและเลือด ความดันลดลง กังวลน้อยลง มีสมาธิมากขึ้น สมองปลอดโปร่ง ความจำดีขึ้น ทักษะการคิดและ การแก้ปัญหาดีขึ้น ผู้อำนวยการสุขภาพจิต กล่าว
ผู้อำนวยการ ด้านสุขภาพจิต กล่าวต่อไปว่า การฝึกหายใจเพื่อคลาย ความเครียดควร ทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง และฝึกในช่วงเวลาที่มีความเครียด หรือหงุดหงิด เวลาโกรธหรือ ทุกครั้งที่นึกได้ ควรฝึกเทคนิค การหายใจที่เหมาะสมประมาณ 40 ท่าทุกวัน แต่ไม่จำเป็นต้องทำ ทั้งหมดพร้อมกัน นอกจากนี้คนเรา ควรออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ซึ่งจะทำให้ร่างกาย หลั่งสารแห่งความสุข ออกมามาก รู้สึกสบายตัว และหลับสบายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบรรเทาความเครียด สามารถทำได้ด้วยการ ให้คำปรึกษาหากสถานการณ์ ไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปรับบริการที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือปรึกษาสายด่วน 1323 ฟรี 24 ชั่วโมง สำนักสุขภาพจิต ไม่แนะนำให้ ซื้อยาแก้ซึมเศร้ามารับประทานเอง เพราะเสี่ยงติดยา และไม่ควรพึ่งสิ่งเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ ยา เป็นต้น เพราะไม่ช่วยให้คลายเครียด
เป็นสิ่งสำคัญหากความกดดัน ที่สะสมอยู่ในจิตใจยังคงเติบโต จะกลายเป็นภัยเงียบนำ ไปสู่โรคต่าง ๆ ตามมา ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคทางกายอื่น ๆ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า และอาการทางจิตอื่น ๆ ส่งผลต่อพฤติกรรม เช่น โกรธง่าย หงุดหงิด จู้จี้ ขี้บ่น ขาดความอดทน มีแนวโน้มที่จะทะเลาะวิวาท และปัญหาอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อครอบครัว ที่ทำงาน และสังคมด้วย
ติดดตามเรื่องสุขภาพได้ที่ : เคล็ดลับสุขภาพดี
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : ramahealthy