ที่มาของฟักทอง

ฟักทอง ชื่อสามัญ Pumpkin ฟักทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Duchesne จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ฟักทองแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล ตระกูลแรกคือตระกูลฟักทองอเมริกัน (Pumpkin) ผลใหญ่ เนื้อย่น และตระกูลสควอช (Squash) ซึ่งมีทั้งฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น ผิวของผลอ่อนของฟักทองไทยมีสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเขียว ผิวหยาบเล็กน้อย ผิวแข็ง เนื้อในมีสีเหลือง เมล็ดฟักทองมีลักษณะแบนสีขาว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส แคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม โซเดียม แมงกานีส เหล็ก สังกะสี ฯลฯ
ชนิดของฟักทองในแต่ละส่วน
– เนื้อฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินเอ ทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง อย่าลืมนะครับ “เบต้าแคโรทีน” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ แถมเบต้าแคโรทีนยังช่วยในการชะลอวัย ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเข่าและสะโพก
– เปลือกฟักทองมีสรรพคุณทางยามากมาย หากคุณกินฟักทองทั้งลูกจะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกายได้ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวาน ความดัน บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงสายตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ปริมาณวิตามินเอในใบอ่อนสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าเนื้อสัตว์
– ดอกมีวิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส มีวิตามินซีในปริมาณเล็กน้อย
– เมล็ดพืชประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีน และวิตามิน รวมทั้งชนิดที่เรียกว่า “คูเคอร์บิทีน” (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าแมลงได้ดีและช่วยขับปัสสาวะป้องกันนิ่วและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันเมล็ดฟักทองยังสามารถช่วยบำรุงประสาท นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนที่ช่วยป้องกันต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้รับจากอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ.
-เหง้าต้มดื่มแก้ไอ อีกทั้งยังช่วยบำรุงร่างกายและแก้พิษของฝิ่น
– เยื่อตรงกลางใช้ปิดแผลได้ บรรเทาอาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ
ประโยชน์ของฟักทอง
พูดถึง “ฟักทอง” เชื่อว่าหลายคนรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงฮาโลวีนแบบนี้ ฟักทองมักจะถูกนำไปประดับตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เข้ากับเทศกาล แต่เรารู้อะไรไหมว่า..ฟักทองมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารมากมายจริงๆ? นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
“ฟักทอง” ถือเป็นพืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ สีเหลืองน่ารับประทานประกอบด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินอี วิตามินซี วิตามินเค ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม แมงกานีส แร่ธาตุ เช่น เหล็กและสังกะสี ยังมีอีกมากมาย ซึ่งแร่ธาตุ และสารอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ เช่น
- ควบคุมน้ำหนัก – เนื่องจากฟักทองเป็นพืชที่มีไขมันน้อยและน้ำตาลน้อย จึงให้พลังงานต่ำ (26 แคลอรี/100 กรัม) ทำให้รู้สึกอิ่มนานหลังรับประทาน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างถูกต้องและลดความอยากอาหาร
- สารต้านอนุมูลอิสระ – ฟักทองอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- ป้องกันดวงตา – เพราะฟักทองมีวิตามินเอ มีความสามารถในการช่วยบำรุงสายตา ปกป้องการมองเห็นจากความเสียหาย และลดปัจจัยเสี่ยงของโรคตาเสื่อมหรือโรคตา
- สารอาหารในเลือด – แร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบเลือด เช่น ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม สังกะสี และแมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในฟักทอง ฟักทองช่วยบำรุงเลือด
- ผิวกระจ่างใส – ด้วยคอลลาเจนธรรมชาติที่พบในฟักทอง ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา อีกทั้งยังมีวิตามินซี ที่จะช่วยให้ผิวเราสดใส ป้องกันริ้วรอย
- แม้ว่าประโยชน์ของฟักทองจะมีมากมาย แต่เราควรกินฟักทองในปริมาณที่พอเหมาะ อาจทำให้เกิดแก๊สและท้องไส้ปั่นป่วนหากบริโภคมากเกินไป
ทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากฟักทอง
ฟักทองไม่ได้มีดีแค่เนื้อสีเหลืองทองเท่านั้น เมล็ดฟักทองยังช่วยคลายความเครียดได้ดีอีกด้วย น้ำมันฟักทองยังช่วยบำรุงประสาท แม้แต่การบริโภคฟักทองก็ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นควรกินส่วนต่างๆ ของฟักทอง หากคุณจะหั่นเนื้อเพื่อทำอาหาร เปลือกอาจจะเหลืออยู่บ้าง คุณสามารถมีบางอย่างกรุบกรอบ
นอกจากนี้ใครที่อยากกินฟักทองเพื่อลดน้ำหนัก ลดระดับน้ำตาลในเลือด อย่าเผลอกินแกงฟักทอง แล้วสังขยาฟักทองล่ะ? เนื่องจากเป็นของหวานที่มีน้ำตาลสูง จึงแนะนำให้รับประทานแบบต้มหรือนึ่ง และรับประทานร่วมกับผักและผลไม้อื่นๆ หรือทำซุปฟักทองและฟักทองกวนกับไข่ควรเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย
สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : ramahealthy