ramahealthy

โรคซิฟิลิส

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มรักร่วมเพศ รวมไปถึงผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลให้พบทารกติดเชื้อตั้งแต่กำเนิดเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว ซิฟิลิสสามารถป้องกันได้ เพียงตรวจเลือด และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธี โรคซิฟิลิส เป็นโรคที่ปัจจุบันใครหลายคนมองว่าเป็นแล้วรักษาได้เลยชะล่าใจ ขาดวินัยในการป้องกันโรคเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าจะให้กล่าวจริง ๆ โรคนี้ไม่จำเป็นต้องแพร่ระบาดในเดือนแห่งความรักเท่านั้น ปัจจุบันเรายังเห็นผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสอยู่บ้างแม้ไม่ใช่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็ตาม แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าอันตรายสูงสุดของโรคนี้เป็นเช่นไร และสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดายจริงหรือ ?

สาเหตุของโรคซิฟิลิส เบื้องต้นโรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “ทริปโปนีมา พัลลิดุม” ที่สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านทางการสัมผัสผู้มีเชื้อทั้งการจูบ การสัมผัสแผล การมีเพศสัมพันธ์ การรับเลือดมาจากผู้ติดเชื้อ และการสัมผัสเข็มที่ติดเชื้อ เป็นต้น นอกจากจะมีการติดต่อจากคนสู่คนแล้วยังสามารถติดต่อจากสตรีมีครรภ์กับลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วย โรคนี้ถึงแม้จะรักษาให้หายได้ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าโรคซิฟิลิสมีมากถึง 4 ระยะด้วยกัน

โรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่การต้องมีเพศสัมพันธ์แล้วจะติดโรคได้เท่านั้น แต่เชื้อร้ายนี้ยังสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ผ่านการสัมผัส แผลติดเชื้อ การจูบ หรือการติดต่อจากแม่สู่ลูก ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าโรคซิฟิลิสไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้ แต่อย่าลืมว่าโรคนี้มีหลายระยะ และบางระยะอาจจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้วถึงจะแสดงอาการออกมาให้เห็น หากไม่ได้รับการรักษาเชื้อร้ายนี้จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลต่อสมอง ระบบประสาท อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ หรืออาจจะร้ายแรงถึงขึ้นพิการ และเสียชีวิตได้

ซิฟิลิส อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าโรคซิฟิลิสสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ หญิงมีครรภ์ที่ติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือทารกเสียชีวิตหลังคลอดได้ นอกจากนี้โรคซิฟิลิสยังมีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วยแม้โรคซิฟิลิสจะอันตราย แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ การป้องกันการเกิดโรคร้ายนี้สามารถทำได้โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยเพื่อลดความเสี่ยงของการติดโรคร้าย การตระหนักถึงโรคร้ายและป้องกันตัวเองจากโรคร้ายที่มากับเพศสัมพันธ์นั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อป่วยแล้วจะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปให้เป็นปกติได้ เมื่อพบว่าตนเองมีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคดังกล่าวควรเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินแก้ โรคซิฟิลิสเกิดขึ้นได้อย่างไร

ปัจจุบันยังนิยมรักษาด้วยยาเพนนิซิลิน ซึ่งเป็นยาที่ได้ผลดีในการรักษาโรคนี้ให้หายได้ โดยการฉีดยาเพนนิซิลินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ติดต่อกัน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ต่อเนื่องในการทำลายเชื้อ ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ยาเพนนิซิลิน จะให้ยาชนิดอื่นรับประทาน เช่น อีริโทรมัยซินรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน 1 เดือน

โรคซิฟิลิส

การกลับมาระบาดของโรคซิฟิลิสในปัจจุบัน พบมากที่สุดในกลุ่มวัยรุ่นช่วงมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย อายุระหว่าง 15-24 ปี เนื่องจากเป็นวัยเจริญพันธุ์ มีเพศสัมพันธ์เร็ว และยังขาดความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา รวมถึงวัยรุ่นในปัจจุบันใช้ชีวิตที่อิสระมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าหรือเพศสัมพันธ์แบบคืนเดียว (One night stand) นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มวัยรุ่นใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคจากเพศสัมพันธ์น้อยมาก บางคนอาจคิดว่าตนไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงเนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนคู่นอนบ่อย จึงไม่ใช้ถุงยางอนามัย แต่ในความเป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบโดยไม่สวมถุงยางอนามัย ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น นอกจากกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวแล้ว เชื้อซิฟิลิสยังสามารถติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษาสู่ทารกในครรภ์ โดยผ่านทางรกอีกด้วย ส่งผลให้ทารกเกิดมามีความผิดปกติ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ ตาบอด สมองเล็ก หรือแม้กระทั่งเสี่ยงเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเทรโพนีมา พัลลิดัม (Treponema pallidum) มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 4 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน ชอบบริเวณที่มีความชื้น ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากการสัมผัสเชื้อโดยตรง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และติดต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ โรคนี้เคยระบาดและเป็นโรคที่น่ากลัวในอดีต โดยเฉพาะซิฟิลิสระยะที่สาม ผู้ป่วยอาจตาบอด ใบหน้าผิดรูป บางรายอาจมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทคล้ายคนเสียสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจนเชื้อฝังลึกอาจเสี่ยงที่จะเสียชีวิต

อาการ โรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 เกิดตุ่มเล็กขนาด 2 – 4 มิลลิเมตร บริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปาก ลิ้น และหัวนม โดยตุ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแตก เป็นแผล ไม่มีอาการเจ็บ หากปล่อยทิ้งไว้เชื้อจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ระยะนี้เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการเนื่องจากแผลและอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตจะค่อยๆ หายไป ผู้ป่วยจึงมักนิ่งนอนใจว่าไม่ได้เป็นอะไร ระยะที่ 2 หลังจากติดเชื้อระยะแรกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองเริ่มเข้าไปสู่กระแสเลือด ส่งผลให้เกิดผื่นลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ไม่มีอาการคัน เรียกระยะนี้ว่า “ระยะออกดอก” บางครั้งอาจพบเนื้อตายเน่า มีน้ำเหลืองไหล ซึ่งมีเชื้อซิฟิลิสปน จึงเป็นระยะติดต่อโรคได้ง่าย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ มีเพียงไข้ เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยตามข้อเท่านั้น ซึ่งเชื้อสามารถสงบอยู่ตามอวัยวะต่างๆ นานหลายปี เพียงแต่ตรวจพบว่ามีผลบวกของเลือดสูงมาก ระยะที่ 3 เรียกว่าระยะแฝง เป็นช่วงที่ไม่มีอาการ มารดาที่ตั้งครรภ์และเป็นโรคในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสสามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ ระยะที่ 4 หลังจากได้รับเชื้อในระยะเวลานาน 2 – 30 ปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเชื้อจะทำลายอวัยวะภายใน รวมถึงอาจส่งผลให้ ตาบอด หูหนวก ใบหน้าผิดรูป สมองเสื่อมหรือเสียสติ เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ถ้าเชื้อลามไปถึงหัวใจ จะทำให้หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต

การป้องกันและรักษา สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่สำส่อนทางเพศ รวมถึงหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย ควรพบแพทย์เสมอ หากเกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อเข้าตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง หากพบว่าเป็นโรคซิฟิลิส แม้ไม่แสดงอาการ ก็ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอตามนัด เนื่องจากเชื้อซิฟิลิสสามารถฝังตัวในกระแสเลือดเป็นระยะเวลานาน การรักษาโรคซิฟิลิส แพทย์ทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลินในขนาดสูง โดยผู้ป่วยต้องไปฉีดยาตามนัดทุกครั้ง การขาดยาจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถรักษาโรคจนหายขาด แม้ปัจจุบันการแพทย์จะพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่โรคร้ายภัยเงียบอย่างซิฟิลิสก็สามารถกลับมาระบาดอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเหตุผลหลักคือ ผู้ป่วยไม่ใส่ใจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย ไม่ระมัดระวังเรื่องการเลือกคู่นอน ใจร้อนอยากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่คิดวางแผนป้องกันใดๆ รวมถึงไม่เคยเข้ารับการตรวจโรค นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการอย่างเด่นชัดจนกว่าจะเป็นระยะสุดท้าย ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวกลายเป็นพาหะของโรคไปโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำทุกปี แม้จะไม่มีอาการใด ๆ แสดงก็ตาม โรคซิฟิลิสอาจจะดูรุนแรงแต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้

ติดตามข้อมูลได้ที่ : โรคต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ

สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : ramahealthy

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ