ramahealthy

โรคอีสุกอีใส

อีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็ก อีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่ายในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคนี้หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ที่มีการสัมผัสหรือหายใจร่วมกันหลังจากผู้ป่วยผ่านอาการโรคอีสุกอีใสทั้ง 3 ระยะแล้ว ผู้ป่วยจะพบว่าเกิดตุ่มแดงบนผิวหนังเป็นระยะเวลาหลายวัน และในที่สุดผู้ป่วยจะมีอาการของผื่นชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ และในที่สุดก็จะกลายเป็นสะเก็ดแผล ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ระยะแพร่เชื้อเป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเกิดผื่น โดยผู้ป่วยจะยังอยู่ในระยะเวลาแพร่เชื้อจนกว่าจะเกิดสะเก็ดแผลครอบตุ่มน้ำ หลังจากนั้นจึงจะพ้นระยะของการแพร่เชื้อ โรคอีสุกอีใสจะไม่แสดงอาการที่รุนแรงในเด็กที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตามในเคสที่มีความรุนแรง ผื่นจะเกิดการลุกลามไปทั่วทั้งร่างกายและจะเกิดรอยโรคขึ้นในช่องคอ รวมถึงที่เยื่อบุผิวบริเวณท่อปัสสาวะ ทวารหนัก และช่องคลอด

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ ควรทำการนัดพบแพทย์หากคิดว่าคุณหรือบุตรของคุณมีอาการของโรคอีสุกอีใส แพทย์จะตรวจวินิจฉัยด้วยการตรวจหาผื่นที่มีลักษณะคล้ายอีสุกอีใสและจะดูอาการภาพรวมของผู้ป่วย แพทย์อาจจะทำการสั่งยาเพื่อบริหารอาการของอีสุกอีใสรวมถึงภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ดังนั้นควรทำการติดต่อแพทย์และแจ้งทางโรงพยาบาลทันทีหากผู้ป่วยคิดว่าอาจจะมีอาการของอีสุกอีใส เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อไปยังผู้ป่วยท่านอื่น ๆ นอกจากอาการอีสุกอีใสแล้ว ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์หากพบว่าผื่นมีการลุกลามไปที่ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือตาทั้งสองข้าง หากนั่นอาจหมายถึงการติดเชื้อทางผิวหนังจากแบคทีเรียชนิดอื่นๆ หรือหากผื่นมาพร้อมกับอาการอื่นๆ อย่างเช่น วิงเวียน ศีรษะ อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว หายใจลำบาก การสั่น สูญเสียความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อ อาการไอทรุดลง อาเจียน ปวดเมื่อยคอ หรือมีไข้สูงกว่า 38. 9 เซลเซียส

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง สาเหตุของเชื้อโรคอีสุกอีใสเกิดจากไวรัสที่แพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น ๆ ผ่านการสัมผัสกับผื่นโดยตรง นอกจากนั้นหากผู้ป่วยไอ หรือจามอาจจะทำการกระจายละอองเชื้ออีสุกอีใสไปในอากาศและทำการแพร่เชื้อแก่คนอื่นที่หายใจละอองที่มีเชื้อเข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสี่ยงสูงจากการติดเชื้ออีสุกอีใสหากไม่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสมาก่อน วัคซีนอีสุกอีใสมีความสำคัญมากโดยเฉพาะกับคนที่ทำงานในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือในโรงเรียน สำหรับคนที่เคยมีประวัติติดเชื้ออีสุกอีใส หรือมีประวัติเคยได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสนั้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันอีสุกอีใส ส่วนในกรณีผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสแล้ว แต่ยังตรวจพบโรคอีสุกอีใสอีกจะพบว่าอาการของโรคจะไม่มีความรุนแรง พบตุ่มน้ำในปริมาณที่น้อยลงและพบไข้ที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามการที่จะเกิดโรคอีสุกอีใสเป็นครั้งที่สองในชีวิตนั้นสามารถพบได้น้อยครั้ง

เด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อโรคอีสุกอีใสช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรก เด็กที่คลอดมักจะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์และความพิการที่แขนและขา นอกจากนี้เด็กยังจะเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคอีสุกอีใสที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต หากมารดามีการติดเชื้ออีสุกอีใสในช่วงสัปดาห์ก่อนการคลอดบุตรหรือสัปดาห์หลังจากการคลอดบุตร ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับตัวมารดาและทารกหากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ และไม่มีภูมิคุ้มกันโรคอีสุกอีใสโรคงูสวัด โรคต่อเนื่องจากการเป็นอีสุกอีใส ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใสพบว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่าในการเกิดโรคงูสวัด โรคงูสวัดคือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ที่ยังคงอยู่ในเซลล์ประสาท ถึงแม้ว่าการติดเชื้อที่ผิวหนังจะหายดีแล้ว ไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้อีกและทำให้เกิดโรคงูสวัด

ช่วงวัยที่ควรได้รับวัคซีนมากที่สุดคือในวัยเด็ก โดยวัคซีนอีสุกอีใสสามารถฉีดร่วมกันกับวัคซีนชนิดอื่น ๆ อย่างเช่นวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน โรคหัดหรือโรคคางทูม อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนรวมอาจมีผลข้างเคียงอย่างเช่น อาการไข้และชัก ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 23 เดือน

สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการสั่งยาเพื่อลดระยะเวลาการติดเชื้อและช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยหรือบุตรที่มีอาการของโรคอีสุกอีใสมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการสั่งยาต้านไวรัสเพื่อช่วยลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจากอีสุกอีใส ยาจะถูกสั่งให้ผู้ป่วยภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเกิดผื่น ยาต้านไวรัสชนิดอื่น ๆ จะช่วยบรรเทาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดจากโรค แพทย์จะทำการแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฉีดวัคซีนหลังจากสัมผัสกับไวรัส ทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกันการเกิดโรคและลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
การรักษาโรคอีสุกอีใสเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะหาการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วย แพทย์อาจจะทำการสั่งยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาอาการติดเชื้อบนผิวหนังรวมถึงอาการปอดติดเชื้อ ยาต้านไวรัสจะช่วยในการรักษาโรคไข้สมองอักเสบ ในบางกรณีผู้ป่วยอาจมีความจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ผู้ป่วยควรเตรียมตัวดังนี้ ถามแพทย์ว่ามีข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยหรือบุตรจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือไม่ อย่างเช่นการแยกตัวเองออกจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จดอาการทั้งหมดที่ผู้ป่วยและบุตรเป็นอยู่ในปัจจุบันรวมถึงระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการและมีอาการเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ พยายามนึกว่าผู้ป่วยหรือบุตรได้มีการสัมผัสกับผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้หรือไม่ จดโรคหรือปัญหาทางสุขภาพอื่นๆที่ผู้ป่วยหรือบุตรเป็น รวมถึงรายการยาที่ต้องรับประทานในปัจจุบัน จดคำถามที่ผู้ป่วยประสงค์จะถามแพทย์ คำถามเบื้องต้นในการตรวจวินิจฉัย คำถามที่ผู้ป่วยสามารถถามแพทย์ มีดังนี้ สาเหตุที่อาจส่งผลให้เกิดอาการเหล่านี้มีอะไรบ้าง มีสาเหตุอื่นๆที่อาจส่งผลให้เกิดอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่ มีทางเลือกการรักษาแบบใดบ้าง อาการเหล่านี้ใช้ระยะเวลานานเท่าใดในการรักษา อาการเหล่านี้จะเกิดการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นหรือไม่ และระยะเวลาการแพร่เชื้อจะยาวนานเท่าใด จะสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้อย่างไร คำถามที่แพทย์จะทำการถามผู้ป่วย มีดังนี้ อาการเริ่มแรกที่ผู้ป่วยสังเกตได้มีอะไรบ้าง ผู้ป่วยได้มีการติดต่อหรือสัมผัสบุคคลอื่นๆที่มีอาการใกล้เคียงโรคอีสุกอีใสในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่ ผู้ป่วยหรือบุตรเคยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสหรือไม่ และหากมีการฉีด ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดกี่เข็ม ผู้ป่วยหรือบุตรได้รับการรักษาภาวะทางการแพทย์อื่นๆอยู่ด้วยหรือไม่ ในปัจจุบัน ผู้ป่วยหรือบุตรมีการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง วิตามิน หรืออาหารเสริมบ้างหรือไม่ บุตรของคุณกำลังเรียนหรืออยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไม่ ผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือไม่

ติดตามข้อมูลได้ที่ : โรคต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ

สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : ramahealthy

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ