ramahealthy

ไขมันพอกตับภัยเงียบ

ไขมันพอกตับภัยเงียบ

ไขมันพอกตับ-ภัยเงียบที่คุณไม่รู้

ปัจจุบันชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป พฤติกรรมการรับประทานอาหารไขมันสูงมากขึ้น ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้พบผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

ตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ในร่างกาย อยู่ในช่องท้องด้านขวาบนใต้ชายโครง ตับมีหน้าที่สำคัญ ได้แก่

-ช่วยในการเผาผลาญอาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานเพื่อช่วยให้เซลล์ในร่างกาย

-ทำลายสารพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกายเองหรือจากสิ่งที่เราใส่เข้าไปในร่างกาย

-สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น

-การสังเคราะห์โปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

จะเห็นได้ว่าตับมีความสำคัญต่อกระบวนการทำงานในร่างกายมนุษย์มาก และเช่นเดียวกับอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย หากติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ปรสิต ยา แอลกอฮอล์ สารเคมีหรือสารพิษ รวมถึงไขมันในตับมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันพอกตับ หรือมะเร็งตับ

 

ไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำไขมันที่เรากินเข้าไปใช้ได้หมด ทำให้มีการสะสมที่ตับเป็นจำนวนมาก ไขมันส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งมาจากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน

 

โรคไขมันพอกตับแบ่งออกได้เป็น 2 สาเหตุคือ

-จากแอลกอฮอล์

ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด การกินอาหารที่มีไขมัน อาหารหวาน หรืออาหารคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป อาหารเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ในตับ เมื่อร่างกายนำไปใช้ไม่หมดก็จะไปสะสมที่ตับในที่สุด

พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไขมันพอกตับมากขึ้น เช่น โรคอ้วน น้ำหนักเกิน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคต่าง ๆ ของตับเอง เช่น ไวรัสตับอักเสบ การใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อตับ ธาตุเหล็กเกินในตับ เป็นต้น ถ้าอยากรู้ว่าเราเสี่ยงเป็นไขมันพอกตับหรือไม่ อาจพิจารณาได้จาก

 

-รอบเอวในผู้ชายมากกว่า 40 นิ้ว และรอบเอวในผู้หญิงมากกว่า 35 นิ้ว อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับ

-น้ำตาลในเลือดที่สูงกว่า 100 มก./ดล

-ไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มก./ดล

-ไขมันดีหรือโคเลสเตอรอล HDL ต่ำ (โดยทั่วไป ค่า HDL โคเลสเตอรอลยิ่งสูงยิ่งดี) ในผู้ชาย คอเลสเตอรอล HDL ควรมากกว่า 40 มก./ดล. และในผู้หญิงมากกว่า 50 มก./ดล.)

-ความดันโลหิตสูง นอกจากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นให้มีไขมันพอกตับมากขึ้นอีกด้วย

โดยทั่วไปโรคไขมันพอกตับจะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เปรียบเสมือนภัยเงียบที่ค่อย ๆ ทำร้ายร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะไม่มีอาการใด ๆ คนทั่วไปมักจะรู้ว่ามีความผิดปกติเมื่อมาตรวจสุขภาพประจำปีหรือมาตรวจร่างกายด้วยปัญหาอื่น ๆ ยกเว้นในกรณีที่โรคเริ่มลุกลามจนเกิดตับอักเสบ ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับพบว่า 10-20% ของผู้ป่วยโรคตับอักเสบมีตับอักเสบ จะมีความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับตามมา ผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับไม่ควรละเลยการรักษาและดูแลตัวเอง

 

 

สำหรับการรักษาไขมันพอกตับขึ้นอยู่กับระยะของโรคว่าอยู่ในระยะใด การรักษาไขมันพอกตับในระยะที่ยังไม่อักเสบ แตกต่างจากระยะที่มีตับอักเสบหรือตับแข็ง โดยทั่วไปแล้วการรักษาโรคไขมันพอกตับที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกิน รวมถึงแก้ไขสาเหตุของความเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ การใช้ยาในการรักษา แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

 

 ติดดตามเรื่องสุขภาพได้ที่ : เรื่องโรค รอบตัวน่ารู้

 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : ramahealthy

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ