ramahealthy

ไข้ทรพิษหรือฝีดาษ

โรคฝีดาษลิง เกิดได้อย่างไร ฝีดาษลิงเป็นโรคที่มีการติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือสัตว์แทะ ซึ่งจะเกิดจากที่มนุษย์ได้มีการสัมผัสกับสัตว์อย่างใกล้ชิด เลยทำให้มีการติดต่อ โรคฝีดาษ จากสัตว์โดยตรง นอกจากนี้อาการฝีดาษในมนุษย์ เมื่อ 50-60 ปีที่เเล้ว จะมีลักษณะของผื่นที่เริ่มจากจุดแดง ๆกลม ๆ หลังกลายนั้นจะกลายเป็นจะเป็นตุ่มใส และกลายเป็นเป็นตุ่มหนอง โดยมักจะเกิดเป็นตุ่มตามใบหน้า ลำตัว เเขน และขาการติดต่อโรคฝีดาษลิง โดยส่วนใหญ่จะมีการติดทางการสัมผัสไม่ว่าจะเป็น การไอ จาม น้ำมูก น้ำหลั่ง และการคลุกคลีกันกับผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษลิง ซึ่งในปัจจุบันมีการพบเชื้อ ฝีดาษลิง อยู่ในอสุจิจากการร่วมเพศ เเต่ก็ยังเป็นข้อสงสัย และรอการวิจัย

อย่างไรก็ตาม หากเราป้องกันตัวเอง ล้างมือด้วยน้ำบ่อย ๆ หรือใช้แอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกันโรคฝีดาษลิงมีหลักฐานยืนยันว่า โรคไข้ทรพิษเป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดมาอย่างยาวนานมากกว่า 1,000 ปี แต่ปัจจุบันนี้ไม่พบผู้ป่วยโรคไข้ทรพิษแล้ว เนื่องมาจากการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ โดยประเทศไทยได้ยุติการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ ตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งปัจจุบัน ได้มีการเก็บตัวอย่างเชื้อไข้ทรพิษ ไว้สำหรับเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น

สถานการณ์โรคไข้ฝีดาษลิง พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึง 500 ราย ภายในระยะเวลา 30 วัน โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ร้อยละ 99 เป็นผู้ชาย ซึ่งมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมา โดยติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในแง่ของการควบคุมโรคนั้น หากเชื้อมีการแพร่ระบาดจากคนไปสู่สัตว์ จะทำให้การควบคุมโรคทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสัตว์ฟันแทะที่จะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อตามธรรมชาติของเชื้อไวรัสนี้อยู่แล้ว โดย ณ ข้อมูลปัจจุบัน ยังไม่พบรายงานว่า มีเชื้อไวรัสในกลุ่มสัตว์ฟันแทะ (เช่น กระรอก หนู กระแต) ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โรคไข้ฝีดาษลิง รักษาได้ไหม? สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และสวมหน้ากากอนามัย สามารถช่วยป้องกันได้ทั้ง 3 โรค ได้แก่ โรคฝีดาษลิง โรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่มีผู้ป่วยเสียชีวิต 5 คน โดยตลอดระยะเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้ทำการกวาดล้างและป้องกันอย่างจริงจังจนอัตราการติดเชื้อลดลง เป็นผลให้พบการติดเชื้อตามธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2520 และในปี พ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าโรคฝีดาษถูกกวาดล้างจนหมดแล้ว จึงหยุดการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคนับแต่เป็นต้นนั้นมา โรคฝีดาษถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ต้องมีการแจ้งความต่อหน่วยงานสาธารณสุข โดยโรคนี้แบ่งเป็น 4 ชนิด แต่ที่มักพบในบ่อยในอดีต

ปัจจุบันยังคงมีตัวอย่างเชื้อไวรัสดังกล่าวที่เก็บไว้สำหรับการศึกษาและเฝ้าระวังการระบาดในอนาคต โดยถูกเก็บรักษาไว้ในห้องปฏิบัติการเพียงไม่กี่แห่งในโลก อาการของโรคฝีดาษ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสวาริโอลาแล้ว เชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 7-17 วัน หลังจากนั้นจะก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้ มีไข้สูง รู้สึกไม่สบายตัว หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดหลังอย่างรุนแรง อาเจียน8-9 วันแผลจึงเริ่มตกสะเก็ด แล้วค่อย ๆ หลุด เหลือเพียงแผลเป็นในที่สุด ทว่าเชื้อมักจะสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่เริ่มมีผื่นขึ้นจนกระทั่งสะเก็ดแผลหลุดร่วงไปจนหมด หากผู้ป่วยไม่มีอาการที่รุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายก็สามารถหายเป็นปกติได้ในเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ และอาจมีเพียงแผลเป็นให้เห็นหลังจากได้รับเชื้อแล้ว เมื่ออยู่ในระยะฟักตัว จะไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น แต่จะเริ่มเห็นความผิดปกติได้เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะแสดงอาการ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ และตรวจร่างกายภายนอก จากนั้นจะเก็บตัวอย่างเลือด ของเหลวจากตุ่มน้ำ เนื้อเยื่อบริเวณที่มีผื่นขึ้น และเสมหะในคอไปเพาะเชื้อ หรือทำการตรวจหารอยโรค หากพบว่าผู้ป่วยมีเชื้อไวรัสวาริโอลาในร่างกาย แพทย์จะรีบทำการรักษาทันที เพื่อไม่ให้อาการยิ่งรุนแรงขึ้น และจะต้องรีบแจ้งไปยังหน่วยงานสาธารณสุข เพราะถือเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินและร้ายแรงที่ต้องมีการรับมืออย่างเร่งด่วนการรักษาโรคฝีดาษ เนื่องจากในปัจจุบันโรคนี้ถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว การรักษาจึงถูกจำกัดและใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อในผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเชื้อโดยตรง ซึ่งในการรักษาจะทำการรักษาตามอาการ และป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ต้องแยกผู้ป่วยออกจากคนปกติและผู้ป่วยคนอื่น ๆ เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อกันได้ง่าย นอกจากนี้ ในการรักษา แพทย์อาจสั่งใช้ยาต้านไวรัสร่วมด้วย และควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงมากขึ้น ระยะเวลาในการรักษาจะกินเวลาไปจนกว่าแผลตกสะเก็ดจะหายหมด อีกทั้งยังควรให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวในสถานที่ที่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย รวมถึงควรระมัดระวังรอยโรคที่จะเกิดขึ้นบริเวณดวงตา เพราะหากเกิดแผลหรือตุ่มน้ำอาจถึงขั้นทำให้ตาบอดได้หากเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการก็อาจรุนแรงมากจนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ และหากเกิดตุ่มน้ำฝีดาษขึ้นที่บริเวณดวงตา ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้เช่นกัน การป้องกันโรคฝีดาษ เนื่องจากในปัจจุบันมีการประกาศว่าเชื้อไวรัสวาริโอลาได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงทำให้การป้องกันเหลือเพียงการเฝ้าระวังการระบาดที่อาจเกิดจากอาวุธชีวภาพ หรือการรั่วไหลของเชื้อจากห้องปฎิบัติการ แต่ก็ยังมีการฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษหรือการปลูกฝีดาษเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มคนที่ต้องทำงานกับเชื้อโดยตรง และคนในหน่วยทหารที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อจากอาวุธชีวภาพ

ติดตามข้อมูลได้ที่ : โรคต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพ

สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : ramahealthy

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ